ทำไมต้องมีการ Back up ข้อมูล

        ในโลกที่มีการใช้ข้อมูลอย่างส่วนใหญ่ในปัจจุบัน การรักษาข้อมูลที่มีค่าของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การสำรองข้อมูลคือการสร้างสำเนาของไฟล์ดิจิทัลของคุณเพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูลที่เกิดขึ้นได้จากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์, การโจมตีไซเบอร์, หรือการลบข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ คู่มือเบื้องต้นนี้จะแนะนำคุณเกี่ยวกับสารพัดพลังของการสำรองข้อมูล แนวทางและกลยุทธ์เพื่อให้ข้อมูลของคุณปลอดภัยและสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย

การ Back up ข้อมูล

การ Back up ข้อมูล

การสำรองข้อมูล (Backup) มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน เนื่องจากข้อมูลต่างๆ มีความสำคัญต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตของเราเป็นอย่างมาก การสำรองข้อมูลจะช่วยให้เราป้องกันข้อมูลสูญหายหรือเสียหายจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น

  • ความผิดพลาดของมนุษย์ เช่น การลบไฟล์โดยไม่ตั้งใจ การแก้ไขไฟล์ที่ผิดพลาด หรือการติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ไม่ถูกต้อง
  • ความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์ เช่น ฮาร์ดไดรฟ์เสียหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม
  • การโจมตีทางไซเบอร์ เช่น การแฮ็ก การเรียกค่าไถ่

จึงทำให้การสำรองข้อมูลเป็นกระบวนการที่สำคัญมากในการปกป้องข้อมูลและข้อมูลสำคัญที่คุณหรือองค์กรเหตุผลหลักที่ต้องมีการสำรองข้อมูล มีดังนี้

  1. ความคลาดเคลื่อนและความเสี่ยง: ความผิดพลาดของระบบคอมพิวเตอร์และฮาร์ดแวร์อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นการล้มเหลวของฮาร์ดดิสก์ ข้อผิดพลาดของโปรแกรม หรือการโจมตีคอมพิวเตอร์ การสำรองข้อมูลช่วยให้คุณสามารถกู้คืนข้อมูลที่สูญหายหรือถูกทำลายได้.
  2. การรั่วไหลข้อมูล: ข้อมูลที่รั่วไหลหรือถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตสามารถเป็นอันตรายต่อความเป็นส่วนตัวและความลับ การสำรองข้อมูลช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการสูญหายของข้อมูลที่มีค่า.
  3. ภัยคุกคามจากธรรมชาติ: ภัยธรรมชาติเช่น น้ำท่วม, ไฟไหม้, แผ่นดินไหว หรือสึนามิ อาจทำให้ข้อมูลสูญหายได้ การสำรองข้อมูลที่อยู่ในสถานที่ปลอดภัยจะช่วยลดความเสี่ยงนี้.
  4. การละเมิดความปลอดภัยของข้อมูล: ความเสี่ยงจากการโจมตีคอมพิวเตอร์และการละเมิดความปลอดภัยของข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การสำรองข้อมูลช่วยให้คุณสามารถกู้คืนข้อมูลหลังจากโจมตีหรือการละเมิดนั้นเกิดขึ้น.
  5. การค้างคาเทคโนโลยี: การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอาจทำให้ข้อมูลที่เก็บไว้ในระบบเก่าไม่สามารถเข้าถึงหรือใช้งานได้ตามปกติ การสำรองข้อมูลช่วยให้คุณมีการค้างคาเทคโนโลยีน้อยลงและสามารถย้ายข้อมูลไปยังระบบใหม่ได้ง่ายขึ้น.
  6. การรักษาความมั่นคงของธุรกิจ: สำหรับธุรกิจและองค์กร, ข้อมูลเป็นสินทรัพย์มากสำคัญ การสูญเสียข้อมูลสามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของธุรกิจ การสำรองข้อมูลเป็นส่วนสำคัญของการบำรุงรักษาธุรกิจ.

การสำรองข้อมูลเป็นขั้นตอนสำคัญในการปกป้องความมั่นคงของข้อมูลของคุณ และในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การสูญหายข้อมูลหรือการโจมตีคอมพิวเตอร์ การสำรองข้อมูลจะช่วยให้คุณสามารถกู้คืนข้อมูลและกลับไปทำงานได้ทันท่วงที

ประเภทของการสำรองข้อมูล

การสำรองข้อมูลเป็นกระบวนการสร้างสำเนาข้อมูลเพื่อป้องกันความสูญเสียข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นจากการลบข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ, ความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์, การโจมตีไซเบอร์, หรือสถานการณ์อื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น การสำรองข้อมูลมีหลายวิธีและรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งได้รับการใช้งานในสถานการณ์และวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน นี่คือประเภทการสำรองข้อมูลที่พบบ่อย

  1. การสำรองข้อมูลแบบเต็ม (Full Back-up): การสำรองข้อมูลแบบนี้เป็นกระบวนการสำรองข้อมูลทั้งหมดที่มีในระบบในขณะนั้น ซึ่งมีข้อดีคือการสามารถคืนค่าข้อมูลได้อย่างครบถ้วน แต่มีข้อเสียคือการใช้พื้นที่จัดเก็บและเวลาในกระบวนการสำรองข้อมูลที่มากกว่ารูปแบบอื่น ๆ
  2. การสำรองข้อมูลแบบเพิ่มขึ้น (Incremental Back-up): การสำรองข้อมูลแบบนี้จะสำรองข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นตั้งแต่การสำรองข้อมูลล่าสุด ซึ่งช่วยลดการใช้พื้นที่จัดเก็บและเวลาในการสำรองข้อมูล แต่การคืนค่าข้อมูลอาจใช้เวลามากขึ้นในกรณีที่ต้องคืนค่าข้อมูลจากหลายจุดสำรอง
  3. การสำรองข้อมูลแบบแตกต่าง (Differential Back-up): การสำรองข้อมูลแบบนี้จะสำรองข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับการสำรองข้อมูลแบบเต็มเท่านั้น ความแตกต่างคือมันจะสำรองข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่การสำรองข้อมูลล่าสุด เมื่อต้องการคืนค่าข้อมูล คุณจะต้องใช้การสำรองข้อมูลเต็มและข้อมูลแตกต่างเพื่อคืนค่าข้อมูล
  4. การสำรองข้อมูลในคลาวด์ (Cloud Back-up): การสำรองข้อมูลในคลาวด์คือการสำรองข้อมูลโดยใช้บริการคลาวด์ เช่น Dropbox, Google Drive, หรือ Amazon S3 เป็นต้น ข้อมูลจะถูกเก็บรักษาบนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในคลาวด์และสามารถเข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต
  5. การสำรองข้อมูลภายในสถานที่ (On-Site Back-up): การสำรองข้อมูลในสถานที่คือการสำรองข้อมูลโดยใช้อุปกรณ์เก็บข้อมูลภายในองค์กร เช่นฮาร์ดไดรฟ์ภายใน, เซิร์ฟเวอร์สำรอง, หรือเทปและแผ่น DVD การสำรองข้อมูลแบบนี้มีความคงทนทานต่อการสูญหายข้อมูลอย่างรวดเร็ว แต่มีความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่เดียว
  6. การสำรองข้อมูลนอกสถานที่ (Off-Site Back-up): การสำรองข้อมูลนอกสถานที่คือการสำรองข้อมูลโดยใช้บริการหรืออุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่อยู่ในสถานที่องค์กร เช่นการสำรองข้อมูลที่หลายสถานที่หรือการสำรองข้อมูลในสถานที่ที่อยู่ห่างออกไป เพื่อป้องกันความสูญหายที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่เดียว

โดยการเลือกประเภทและรูปแบบการสำรองข้อมูลที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณและการดำเนินงานของคุณ คุณสามารถปรับปรุงการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลของคุณให้มีประสิทธิภาพและเสถียรมากยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความสูญหายข้อมูลในอนาคต

ความเสี่ยงจากการไม่สำรองข้อมูล

การไม่สำรองข้อมูลเป็นความเสี่ยงและเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อธุรกิจและชีวิตประจำวันของเราได้ หากเราไม่มีการสำรองข้อมูลจะมีผลกระทบดังนี้

  1. สูญหายข้อมูลสำคัญ: หากไม่มีการสำรองข้อมูลอย่างเป็นระบบ ข้อมูลสำคัญอาจสูญหายจากความเสียหายของอุปกรณ์, ไวรัสคอมพิวเตอร์, หรือความล้มเหลวของระบบ
  2. ความเสียหายในธุรกิจ: การสูญหายข้อมูลสามารถทำให้ธุรกิจสูญเสียข้อมูลที่มีค่าและทรัพย์สินทางปัญญา, และมีความผิดพลาดในการให้บริการลูกค้า
  3. การบุกรุกและความไม่ปลอดภัย: ข้อมูลที่ไม่มีการสำรองมีความเสี่ยงต่อการบุกรุกและการโจมตีคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าถึงข้อมูลที่มีค่า
  4. การขัดข้องของกระบวนการทำงาน: สูญหายข้อมูลอาจทำให้กระบวนการทำงานขององค์กรขัดข้อง และมีผลกระทบต่อการผลิตและการให้บริการ
  5. ความสูญเสียทางการเงิน: ความไม่สำรองข้อมูลอาจทำให้เกิดความสูญเสียทางการเงินในรูปแบบของการรับประกัน, การฟ้องร้อง, และค่าเสียหายอื่น ๆ
  6. ความไม่สะดวกในการกู้คืนข้อมูล: หากข้อมูลสูญหาย การกู้คืนข้อมูลอาจมีความยุ่งยากและใช้เวลานาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน
  7. ความสลับสลายของลูกค้า: ลูกค้าอาจสูญเสียความเชื่อถือในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาถูกสูญหายหรือรั่วไหล

การสำรองข้อมูลเป็นกระบวนการสำคัญในการปกป้องข้อมูลของคุณ แนวทางการสำรองข้อมูลที่ดีที่สุดนั้นจะช่วยให้รักษาข้อมูลไว้ในสภาพปกติและสามารถคืนค่าข้อมูลในกรณีฉุกเฉินได้ นอกจากที่ควรจะมีการสำรองข้อมูลแล้วควรเรียนรู้เกี่ยวกับการป้องกันข้อมูลคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลด้วย

แนวทางการสำรองข้อมูล

  1. กำหนดเวลาการสำรองข้อมูลเป็นประจำ: กำหนดตารางการสำรองข้อมูลที่แน่นอนเพื่อให้คุณไม่ลืม การสำรองข้อมูลระยะสั้นหรือระยะยาวเป็นเรื่องสำคัญเพราะมันช่วยให้คุณมั่นใจว่าข้อมูลของคุณอยู่ในสภาพปกติ.
  2. ใช้การสำรองข้อมูลอัตโนมัติและตั้งเวลา: ใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการที่สามารถสำรองข้อมูลอัตโนมัติและตั้งเวลาการสำรองข้อมูลให้คุณ นี้จะช่วยประหยัดเวลาและลดความลำบากในกระบวนการ.
  3. เข้ารหัสข้อมูล: เพื่อป้องกันข้อมูลของคุณจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต ใช้การเข้ารหัสข้อมูลที่แข็งแกร่งก่อนที่จะสำรองข้อมูล.
  4. ตั้งนโยบายการเก็บรักษาข้อมูล: ระบุระยะเวลาที่ควรเก็บรักษาข้อมูลในสถานะสำรอง และลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกเมื่อถึงเวลา.
  5. ทดสอบกระบวนการสำรองข้อมูลและการกู้คืนข้อมูล: ทดสอบเป็นระยะประจำเพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถคืนค่าข้อมูลได้สมบูรณ์ในกรณีฉุกเฉิน การทดสอบนี้จะช่วยคุณรู้ว่ากระบวนการสำรองข้อมูลและการกู้คืนข้อมูลทำงานอย่างถูกต้อง.
  6. สำรองข้อมูลในคลาวด์ : การสำรองข้อมูลในคลาวด์ช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่เก็บในสถานที่เดียวและช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลจากทุกที่.
  7. สำรองข้อมูลในสถานที่ : สำรองข้อมูลในอุปกรณ์ภายในองค์กรเพื่อความสูงสุดในความความมั่นใจ การสำรองข้อมูลในสถานที่เหมาะสำหรับข้อมูลที่ต้องการการเข้าถึงที่รวดเร็ว.
  8. การคืนค่าและกู้คืนการฉีดยาที่มีประสิทธิภาพ: มีวางแผนการคืนค่าข้อมูลและการกู้คืนข้อมูลในกรณีฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว.
  9. ปฏิบัติสำหรับระเบียบความมั่นคงปลอดภัย: ระบบความมั่นคงปลอดภัยที่เข้มงวดสามารถช่วยป้องกันการบุกรุกและข้อมูลจากการสำรองข้อมูล.
  10. การสำรองข้อมูลแยกชั้น: คำนึงถึงความสำคัญของข้อมูลและสำรองข้อมูลแบบแยกชั้นโดยให้ความสำคัญมากที่สุดกับข้อมูลที่สำคัญที่สุด.
  11. การเรียนรู้และปรับปรุง: ทบทวนและปรับปรุงแผนการสำรองข้อมูลของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่ามันมีประสิทธิภาพและป้องกันความสูญหายข้อมูล.
  12. ติดตามแนวโน้มเทคโนโลยี: คำนึงถึงแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่นการใช้บล็อกเชนในการสำรองข้อมูลหรือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสำรองข้อมูลใหม่

การไม่สำรองข้อมูลเป็นความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบที่หลากหลายและสามารถป้องกันได้ด้วยการนำระบบสำรองข้อมูลและมาตรการความปลอดภัยข้อมูลเข้ามาใช้ในธุรกิจและชีวิตประจำวันของเราโดยมาตราฐานที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมและนำมาพัฒนาใช้ในการสำรองข้อมูลคือ การสำรองข้อมูลแบบ Department of Defense (DoD)

การสำรองข้อมูลแบบ Department of Defense (DoD)

การสำรองข้อมูลแบบ Department of Defense (DoD) คือกระบวนการสำรองข้อมูลที่มีความมั่นคงและปลอดภัยตามมาตรฐานของกรมกว่างแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (DoD) เพื่อป้องกันข้อมูลจากการสูญหายหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต กระบวนการนี้มีขั้นตอนและมาตรฐานเฉพาะที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ข้อมูลที่สำรองมีความมั่นคงและปลอดภัยตามมาตรฐาน DoD

การ back up ข้อมูลแบบ DoD

การสำรองข้อมูลแบบ DoD คือ การสำรองข้อมูลตามมาตรฐานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา (Department of Defense) คือ กรมกว่างแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีหน้าที่หลักในการปกป้องและรักษาความมั่นคงของประเทศสหรัฐ กรมนี้เป็นหน่วยงานทางทหารที่รวมการกองทัพสหรัฐ (U.S. Armed Forces) ซึ่งประกอบด้วยกองทัพบก (U.S. Army), กองทัพเรือ (U.S. Navy), กองทัพอากาศ (U.S. Air Force), และกองทัพเรือนานาชาติ (U.S. Marine Corps) รวมถึงหน่วยงานทางพลังงานและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งการสำรองข้อมูล DoD เป็นกระบวนการสำรองข้อมูลที่เน้นความมั่นคงและความปลอดภัยในระดับสูง เพื่อให้ข้อมูลสามารถรับมือกับการโจมตีและสูญหายได้ การสำรองข้อมูลแบบ 3-2-1 คือ

  • สำเนาข้อมูลหลัก (Primary copy) เก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ต้นฉบับ
  • สำเนาข้อมูลรอง (Secondary copy) เก็บไว้ที่อุปกรณ์สำรองข้อมูล เช่น ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก อุปกรณ์ NAS หรือ cloud storage
  • สำเนาข้อมูลสำรอง (Tertiary copy) เก็บไว้ที่อุปกรณ์สำรองข้อมูลแบบ offline เช่น เทปแม่เหล็ก

การสำรองข้อมูลแบบ DoD เป็นการสำรองข้อมูลที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหรือเสียหายจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือการโจมตีทางไซเบอร์

หลักการของการสำรองข้อมูลแบบ DoD มีดังนี้

  • สำเนาข้อมูลไว้อย่างน้อย 3 ชุด เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากอุปกรณ์สำรองข้อมูลชุดใดชุดหนึ่งเสียหาย
  • เก็บสำเนาข้อมูลไว้ 2 แห่ง เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากสถานที่เก็บสำเนาข้อมูลแห่งหนึ่งเกิดความเสียหาย
  • เก็บสำเนาข้อมูลชุดที่ 3 ไว้แบบ offline เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหากอุปกรณ์สำรองข้อมูลชุดอื่นๆ เสียหายหรือถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

การสำรองข้อมูลแบบ DoD แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

  • DoD 5220.22-M เป็นมาตรฐานการสำรองข้อมูลแบบ 3-2-1 โดยใช้การเข้ารหัสแบบ AES-256
  • DoD5220.22-R เป็นมาตรฐานการสำรองข้อมูลแบบ 3-2-1 โดยใช้การเข้ารหัสแบบ DES

ขั้นตอนในการสำรองข้อมูลแบบ DoD มีดังนี้

  1. ทำการสำรองข้อมูลหลัก (Primary copy) ไปยังอุปกรณ์สำรองข้อมูล
  2. ทำการลบข้อมูลหลัก (Primary copy) ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นฉบับ
  3. ทำการสำรองข้อมูลรอง (Secondary copy) ไปยังอุปกรณ์สำรองข้อมูล
  4. ทำการลบข้อมูลรอง (Secondary copy) ออกจากอุปกรณ์สำรองข้อมูล
  5. ทำการสำรองข้อมูลสำรอง (Tertiary copy) ไปยังอุปกรณ์สำรองข้อมูลแบบ offline ทำเป็น flowchat

การสำรองข้อมูลแบบ DoD เป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องข้อมูลของคุณ อย่างไรก็ตาม การ back up ข้อมูลเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ควรมีมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและไฟร์วอลล์ การกำหนดนโยบายความปลอดภัยข้อมูล และการฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยข้อมูล

ข้อดีของการสำรองข้อมูลแบบ DoD

  • ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูง
  • ป้องกันข้อมูลสูญหายหรือเสียหายจากเหตุการณ์ต่างๆ
  • เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูล

ข้อเสียของการสำรองข้อมูลแบบ DoD

ใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ

ต้องใช้อุปกรณ์สำรองข้อมูลจำนวนมาก

สรุปแล้ว การสำรองข้อมูลแบบ DoD เป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องข้อมูลของคุณ อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียต่างๆ ก่อนตัดสินใจใช้

นอกจากการสำรองข้อมูลแบบ DoD แล้ว ยังมีวิธีการ back up ข้อมูลอื่นๆ อีกมากมาย เช่น

  • การ back up ข้อมูลแบบ 3-2-1 เป็นวิธี back up ข้อมูลแบบพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพสูง
  • การ back up ข้อมูลแบบ continuous เป็นวิธี back up ข้อมูลแบบเรียลไทม์
  • การ back up ข้อมูลแบบ differential เป็นวิธี back up ข้อมูลเฉพาะส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น
  • การ back up ข้อมูลแบบ incremental เป็นวิธี back up ข้อมูลเฉพาะส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่ทำการ back up

มาตรฐานและเกณฑ์ของ DoD (Department of Defense)

ในการสำรองข้อมูลและความปลอดภัยข้อมูลมีหลายมาตรฐานและเกณฑ์ที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้ความคงทนและความมั่นคงของข้อมูลสูงสุด นี่คือบางส่วนของมาตรฐานและเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ DoD

  1. FIPS PUB 140-2: Federal Information Processing Standards (FIPS) PUB 140-2 เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานการสำรองข้อมูลและเทคโนโลยีที่ใช้ในระบบสารสนเทศของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา มาตรฐานนี้รวมถึงการเข้ารหัสข้อมูลและความปลอดภัยของเครื่องมือการสำรองข้อมูล.
  2. NIST SP 800-53: มาตรฐานของสถาบันมาตรวัดและเทคโนโลยีขั้นสูง (National Institute of Standards and Technology - NIST) ที่กำหนดเกณฑ์ความปลอดภัยสำหรับระบบสารสนเทศและการสื่อสารในรัฐบาลสหรัฐอเมริกา มาตรฐาน NIST SP 800-53 รวมถึงคำแนะนำเกี่ยวกับการสำรองข้อมูลและการจัดการความเสี่ยง.
  3. DoD 5220.22-M: มาตรฐานทางทหารของ DoD สำหรับการลบข้อมูลและความปลอดภัยข้อมูล มาตรฐานนี้กำหนดวิธีการลบข้อมูลแบบมั่วซ้อมในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ข้อมูลไม่สามารถกู้คืนได้.
  4. NSTISSP No. 11: มาตรฐานของสถาบันมาตรวัดและเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับความปลอดภัยข้อมูลทางทหาร (National Security Telecommunications and Information Systems Security Policy - NSTISSP) ที่กำหนดเกณฑ์ความปลอดภัยข้อมูลสำหรับระบบสารสนเทศทางทหาร.
  5. CNSSP No. 11: มาตรฐานของคณะกรรมการความมั่นคงของระบบสารสนเทศชาติ (Committee on National Security Systems - CNSS) ที่กำหนดเกณฑ์ความปลอดภัยข้อมูลสำหรับการสื่อสารและการสำรองข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา.
  6. DIACAP (DoD Information Assurance Certification and Accreditation Process): กระบวนการสร้างความมั่นคงของข้อมูลของ DoD ที่ใช้ในการรับรองและอนุมัติระบบสารสนเทศของ DoD ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบความปลอดภัยข้อมูลและการกำหนดมาตรฐานความมั่นคงของข้อมูล.
  7. RMF (Risk Management Framework): กระบวนการสำหรับการจัดการความเสี่ยงและความปลอดภัยข้อมูลของ DoD ซึ่งรวมถึงการแสดงความเห็นอย่างต่อเนื่องตลอดจนการตรวจสอบและอนุมัติความมั่นคงของระบบ.
  8. STIGs (Security Technical Implementation Guides): คู่มือและแนวทางทางเทคนิคที่ถูกพัฒนาโดย DoD เพื่อช่วยในการปรับใช้มาตรฐานความปลอดภัยข้อมูลของ DoD และส่งเสริมความมั่นคงของระบบ

สำหรับ DoD, การปฏิบัติตามมาตรฐานและเกณฑ์เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ข้อมูลและระบบสารสนเทศขององค์กรมีความคงทนและปลอดภัยในระดับสูง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่เกี่ยวกับความมั่นคงของข้อมูลและสารสนเทศ.

ตัวอย่างการ back up ข้อมูลแบบ DoD

นี่คือตัวอย่างของการสำรองข้อมูลแบบ DoD

ยกตัวอย่างจากองค์กรนาดใหญ่ ซึ่งการรักษาข้อมูลที่มีค่าภายองค์กรเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การสำรองข้อมูลจึงสำคัญ หากภายในองค์กรเกิดการไฟไหม้ หรือถูกแฮกเกอร์โจมตี ควรทำการสำรองข้อมูลดังนี้

  • กำหนดตำแหน่งการจัดเก็บข้อมูลสำรอง

องค์กรขนาดใหญ่ควรจัดเก็บข้อมูลสำรองอย่างน้อย 3 ชุด ดังนี้

         ชุดที่ 1: สำรองข้อมูลเต็มรูปแบบไปยังสื่อจัดเก็บข้อมูลแบบออฟไลน์ เช่น เทปสำรองหรืออุปกรณ์ภายนอก

         ชุดที่ 2: สำรองข้อมูลแบบส่วนเพิ่มไปยังสื่อจัดเก็บข้อมูลแบบออฟไลน์

         ชุดที่ 3: สำรองข้อมูลแบบสำเนาไปยังสื่อจัดเก็บข้อมูลแบบออนไลน์ เช่น บริการสำรองข้อมูลแบบคลาวด์

         ตำแหน่งการจัดเก็บข้อมูลสำรองควรอยู่นอกที่ตั้งของระบบต้นฉบับ เพื่อความปลอดภัยในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ

  • กำหนดสื่อในการสำรองข้อมูล

สื่อในการสำรองข้อมูลอาจเป็นฮาร์ดดิสก์ภายนอก เทปสำรอง หรือบริการสำรองข้อมูลแบบคลาวด์

         ฮาร์ดดิสก์ภายนอก เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลไม่มากนัก ฮาร์ดดิสก์ภายนอกสามารถพกพาสะดวกและสามารถสำรองข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ฮาร์ดดิสก์ภายนอกอาจเสียหายได้ง่าย จึงควรสำรองข้อมูลไปยังสื่อจัดเก็บข้อมูลแบบออฟไลน์อื่นๆ ด้วย

           เทปสำรอง เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลจำนวนมาก เทปสำรองมีความทนทานและสามารถเก็บข้อมูลได้นานหลายปี อย่างไรก็ตาม เทปสำรองอาจไม่สะดวกในการใช้งานและใช้เวลาในการสำรองข้อมูลนาน

           บริการสำรองข้อมูลแบบคลาวด์ เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความยืดหยุ่นและสามารถเข้าถึงข้อมูลสำรองได้จากทุกที่ อย่างไรก็ตาม บริการสำรองข้อมูลแบบคลาวด์อาจมีค่าใช้จ่ายสูง

  • กำหนดตารางการสำรองข้อมูล

ควรกำหนดตารางการสำรองข้อมูลให้สอดคล้องกับความสำคัญของข้อมูล โดยสำรองข้อมูลเต็มรูปแบบอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง

  • ดำเนินการสำรองข้อมูล

ดำเนินการสำรองข้อมูลตามตารางที่กำหนด โดยตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลสำรองถูกต้องและสมบูรณ์

  • ตรวจสอบข้อมูลสำรอง

ควรตรวจสอบข้อมูลสำรองเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้องและสมบูรณ์

การสำรองข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือองค์กร ทุกคนควรทำเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล. การสร้างสำรองข้อมูลช่วยป้องกันความสูญหาย รักษาความลับ และเตรียมความพร้อมในกรณีฉุกเฉิน. การทำนี้ไม่เพียงแต่มีผลกระทบในด้านความปลอดภัย แต่ยังสร้างความมั่นใจในการใช้ข้อมูลทั้งในระดับบุคคลและระดับธุรกิจ

Share this post
Latest

Explore Our Blog Posts

Stay updated with our latest blog posts.

November 14, 2024

Cencora จ่าย Bitcoin มูลค่า 75 ล้านดอลลาร์ให้แฮกเกอร์ หลังโดนโจมตีด้วย Ransomware

Cencora จ่ายค่าไถ่ 75 ล้านดอลลาร์ให้แฮกเกอร์หลังโดนโจมตีด้วย Ransomware
October 21, 2024

DOS and DDOS Attack

การโจมตีแบบ DoS และ DDoS เป็นรูปแบบของการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปที่การทำให้เป้าหมายไม่สามารถใช้งานได้...
October 21, 2024

มาทำความรู้จักกับสายสัญญาณกันเถอะ Part 2 (Fiber Optic)

สมัยก่อนสายสัญญาณที่ใช้กับระบบเครือข่ายมักจะมีปัญหาของสายที่มีตัวนำเป็นโลหะ ปัญหานั้นก็คือสัญญาณที่วิ่งอยู่ภายในสายอาจจะถูกรบกวน....

Join our newsletter for updates

Stay informed with our latest news and promotions

By subscribing, you agree to our Terms and Conditions.
Thank you! We've received your submission.
Oops! Something went wrong. Please try again.